ชื่อของ “ปริยากร รัตนสุบรรณ” หรือ “มาดามโอ๋” หรือที่แฟนบอลรุ่นลายครามอาจจะคุ้นเคยในฉายา “ทรงชัยน้อย” คือหนึ่งในโปรโมเตอร์ที่น่าจับตามองมาตลอด 11 ปี ทั้งการเปิดตลาดมวยไทยหญิง การสร้างแชมป์โลกในหลายสถาบัน รวมทั้งการก้าวขึ้นไปเป็นโปรโมเตอร์ระดับท็อปไฟว์ของโลกในปัจจุบัน และกำลังจะสร้างปรากฏการณ์ใหม่บนหน้าจอมวยตู้ของทีมไทย ด้วยการผนึกกำลังกับสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี จัดศึก “ยอดมวยไทยรัฐ” โดยระดมเอายอดมวยแห่งยุคมาปะทะกันสดๆ ผ่านหน้าจอทีวี ภายใต้แนวคิด “ไทยรัฐสร้าง ทรงชัยเลือก”
โดยในวันนี้ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์ ได้มีโอกาสจับเข่าคุยกับโปรโมเตอร์ชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ถึงการเข้ามาร่วมงานกันไทยรัฐในครั้งนี้ รวมทั้งจุดเด่นที่พร้อมสร้างความกระหึ่มบนหน้าจอทีวี รวมไปจนถึงทรรศนะในช่วงระยะเวลากว่า 11 ปี บนวงการผืนผ้าใบไทย และทิศทางแนวโน้มของศิลปะแม่ไม้มวยไทยในสายของ “มาดามโอ๋” ในวันนี้
พร้อมนำทัพนักมวยชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย ตอบแทนความไว้วางใจตลอด 38 ปี ของ “วันทรงชัย”
ทายาทคนที่ 3 ของ “บิ๊กซ้ง” สุดยอดโปรโมเตอร์ของเมืองไทย ได้เผยถึงสาเหตุของการร่วมมือกันในครั้งนี้ว่า เป็นเพราะความท้าทายและไอเดียซึ่งมาประสานกันอย่างลงตัวในในการสร้างศึกมวยไทยจอตู้อีกครั้งของไทย
“แรกเริ่มเลยจะเป็นคุณพ่อ (ทรงชัย รัตนสุบรรณ) ได้หารือกับไทยรัฐ จนกระทั่งได้ข้อสรุปว่าถ้าเกิดจะทำมวยไทยควรจะทำอย่างไรถึงจะเปรี้ยงปร้างเป็นที่ยอมรับ เฉพาะฉะนั้นก็ต้องเป็น “ศึกวันทรงชัย” สิ ซึ่งก็เป็นไอเดียที่ดี เพราะป๊าคนที่มีเลือดนักสู้อยู่ในตัวอยู่แล้ว แล้วถ้าเกิดให้ธงเขามาอย่างนี้เขายิ่งชอบ ยิ่งมีหลายๆ คำถามที่เข้ามาว่าคู่มวยเงินแสนค่าตัวเงินล้าน ปกติถ้าจัดอยู่ราชดำเนินปิดวิกให้คน 3-4 พันคนเข้ารวมถึงฝรั่งด้วยมันได้เงินอยู่แล้ว ในขณะที่ถ้าคุณเอามาออกทางทีวีถ้าในแง่ของธุรกิจตัวเงินด้านนี้มันหายไปแล้วในทันที นั้นทำให้หลายคนไม่เข้าใจ แต่เรามองในจุดที่ว่าไทยรัฐมอบความไว้วางใจให้เรา และเราก็รู้สึกเป็นเกียรติด้วยเช่นกัน รวมทั้งเปรียบเสมือนการตอบแทนแฟนมวยที่ไม่ต้องเดินทางมาชมในกรุงเทพฯอย่างเดียวแต่ตอนนี้คุณดูได้ทางบ้าน
ส่วนหน้าที่หลักของโอ๋ก็จะมีการประสานงาน ซึ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน คือในส่วนของมวยจะมีการขอความร่วมมือทำประวัตินักชก การถ่ายภาพนิ่งหรือภาพวิดีโอ ให้ข้อมูลและความรู้ซึ่งไทยรัฐก็บอกมาแล้วว่าอาจจะยังข้อมูลตรงนี้ไม่ละเอียด ทำให้เราต้องคุยกันเยอะมาก ทำให้เราต้องมุ่งสมาธิไปในส่วนนี้มากหน่อย ส่วนอย่างที่สองก็คือ อุปกรณ์มวยทั้งหมดเพราะเราเองมีโรงงานผลิตอุปกรณ์เองด้วย ดังนั้นจึงเป็นข้อได้เปรียบที่ว่าไทยรัฐอยากได้สีไหน หรือโลโก้แบบใดก็สามารถทำให้ได้หมด”
พร้อมคืนกำไรแฟนมวย ด้วยการจัดคู่มวยเงินแสนให้ชมกันแบบฟรีๆ ทุกสัปดาห์
ถึงแม้ว่าจะมีมวยไทยให้ชมกันอย่างจุใจกันหลายรายการผ่านหน้าจอทีวี แต่การถือกำเนิดของศึกมวยไทยในครั้งก็มีทีเด็ดไม้ตายที่ครองใจแฟนจอตู้ได้ไม่ยาก นั่นคือการนำเอาคู่มวยค่าตัวเรือนแสนมาให้จบกันแบบฟรีๆ ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของหน้าจอทีวีไทยเลยก็ว่าได้สำหรับการทุ่มแบบไม่อั้นเช่นนี้
“ข้อแรกเลย มันคือยอดมวยเงินแสนที่นำมาออกทีวี ซึ่งในความเป็นจริงโดยทั่วไปทำไม่ได้เพราะว่างบประมาณของการจัดสิ่งที่ป๊าลงไปมันมากกว่านั้น เขาไม่ได้มองเพียงแค่ตัวเลขเนื่องจากงบประมาณที่ให้มามันขาดทุนไปก่อนหน้าแล้ว ขาดทุนอีกเด้ง คือค่าผ่านประตูที่เราเคยได้สมัยที่จัดแบบนี้ที่ราชดำเนินมันหายไป อีกอย่างคือ นักมวยที่จะขึ้นชกต้องพักอย่างน้อย 21 วัน ซึ่งในความเป็นจริงมันคือสิ่งที่แทบไม่น่าเชื่อในแง่ปฏิบัติ เพราะในความคิดทั่วไปคือมวยตู้เป็นมวยที่ดูฟรี เพราะฉะนั้นเขาก็จะจัดคู่มวยให้เหมาะสมกับงบประมาณที่ได้จากสปอนเซอร์ แต่เราเป็นยักษ์ใหญ่ ถึงแม้สปอนเซอร์อาจจะยังไม่ทราบมากนักเกี่ยวกับการแข่งขัน แต่เราก็ต้องการทำให้มันเปรี้ยง นี้คือสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในวงการมวยตู้หรือมวยทีวี ถามว่านักมวยค่าตัวแพงก่อนหน้านี้มีการจัดไหม ก็ต้องบอกว่ามี แต่นั้นคือการจัดมวยรอบพิเศษนานๆ ครั้ง ไม่ได้มาเป็นรายสัปดาห์แบบนี้
ส่วนข้อที่สอง คือไทยรัฐทีวีพยายามปรับเปลี่ยนมุมมมอง แต่งเติมแสง และมิติในแง่โปรดักชั่นซึ่งโอ๋ดีใจที่คนรุ่นใหม่ได้มองเห็นภาพสวยๆ มีความทันสมัยมากขึ้นไม่ได้ยึดติดกับของเดิมๆ
ข้อสาม คือวันเวลาเหมาะสม เพราะมันสมบูรณ์แบบมากในแง่ของช่วงเวลาในการจัด แต่ถามว่าในการแข่งขันวันแรกคนจะเยอะไหม อันนี้คือสิ่งที่โอ๋ไม่ทราบเพราะปกติคู่มวยแบบนี้ไม่ค่อยมีการจัดออกทีวี แต่การนำมาออนแอร์แบบนี้คือต้องการให้คนดูทีวีเป็นส่วนใหญ่ ทำให้คาดเดาลำบากว่าจะมีแฟนมวยเข้ามาติดตามถึงขอบสนามมากแค่ไหน
ส่วนถ้าถามว่าหนักใจไหม กับการจัดยอดมวยในครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่า ไม่หนักใจเลย เพราะที่บอกว่าเรานำเอาคู่เอกมาชกในแบบที่ไม่มีใครเคยทำ แล้วคนดูก็จะได้เห็นว่ามวยแต่ละเกรดมันชกแตกต่างกันอย่างไร แล้วทำไมค่าตัวเงินมันเหมาะสมกับเขามากแค่ไหน”
ร่วมเป็นหนึ่งในงานแถลงข่าว “ศึกยอดมวยไทยรัฐ” ที่เริ่มประเดิมสังเวียนกันในเดือนกันยายนนี้
เข้าสู่วงการกำปั้นเพราะต้องการช่วยเหลืองาน “ป๊า” ผู้เป็นที่รัก
หลายคนอาจจะได้ทำงานที่รักเพราะชอบและอยากไล่ตามความฝัน แต่สำหรับสาวที่ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์มาโดยตลอด กลับเบนเข็มชีวิตเข้าสู่วงการผืนผ้าใบเพียงเพราะต้องการช่วยเหลืองานของครอบครัว และสามารถเดินตามแผนงานของชีวิตได้อย่างที่หวังเอาไว้
“จริงๆ ไม่ได้คิดมากเลยแล้วป๊าก็ไม่ได้เป็นคนชักชวนด้วย ไม่มีใครชวนแต่เราก็อยู่กับพ่อแม่ ไม่อยากไปไหน แล้วเห็นว่าทำไมพ่อแม่วุ่นวายขนาดนี้ ทำให้คิดได้เองว่าเขาก็ควรจะช่วยนะในฐานะที่เป็นลูกคนหนึ่ง เริ่มต้นด้วยการเข้ามากรอกข้อมูลต่างๆ ทำบัญชี เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมันก็ดีที่ทำให้เรารู้รายละเอียดในทุกๆ แผนก
ส่วนความคิดนี้มันมีขึ้นมาตอนสมัยที่เรียนอยู่ปี 2 ที่ธรรมศาสตร์ เพราะก่อนหน้านี้เป็นคนเงียบๆ ใช้ชีวิตแบบสโลว์ๆ ไปเรื่อยๆ แต่พอขึ้นปี 2 เราก็เห็นว่าเขามีปัญหา ทำให้มานั่งคิดว่าควรรีบๆ เรียนให้จบเร็วๆ รีบหาประสบการณ์แล้วกลับมาช่วยงาน จากนั้นก็ทำตามแผนเลย เรียนจบภายใน 3 ปีครึ่ง แล้วไปทำงานที่ ปตท. จากนั้นก็ไปเรียนต่อโทที่ ม.มหิดล พบเรียนจบกลับมาทำให้เรารู้สึกแฮปปี้ เพราะมันเป็นไปตามแผนที่เราวางใว้ทุกอย่าง แล้วพอเข้ามาทำงานตอนนั้นอายุแค่ 23 ปี ก็รู้สึกนะว่าเราเป็นผู้หญิงแล้วยังเด็กอยู่ด้วย แต่ก็โชคดีที่เห็นทุกๆ มาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งนิสัยส่วนตัวไม่ได้เป็นคนหยิ่งยโส ทำให้เราไปสนามมวยรู้สึกขยันมากเข้าไปคุยกับทุกคนตั้งแต่นักมวย หัวหน้าคณะ คนกวาดเวที เพื่อที่จะได้รู้ว่าคนเหล่านั้นเขารู้สึกยังไงแล้วเราก็จะได้เรียนรู้เร็วขึ้นด้วย”
“ทรงชัยน้อย-มาดามโอ๋” ฉายาที่ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
แน่นอนว่าการเดินตามรอยพ่อเข้าสู่วงการ ย่อมได้รับการจับตามองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นจึงเป็นที่มาของฉายาที่ได้รับในช่วงแรกอย่าง “ทรงชัยน้อย” จนกระทั่งพิสูจน์ตัวเองและได้รับความนับถือจากแฟนหมัดมวยและสื่อมวลชน จึงได้เกิดฉายาหม่ว่า “มาดามโอ๋” ซึ่งเป็นฉายาที่เจ้าตัวยอมรับว่ารู้สึกเขินเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคนภายนอกเรียกขาน
“ตอนแรกสื่อหรือคนทั่วไปจะเรียกเราว่า “ทรงชัยน้อย” มากกว่า แต่ “มาดามโอ๋” น่าจะมาในช่วง 2-3 ปีหลังนี้เอง อาจจะเป็นเพราะว่าแก่ขึ้น (หัวเราะ) จริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าวัยมันเปลี่ยน ถ้าจะเรียกน้องโอ๋เหมือนเดิมมันก็อาจจะไม่ได้ แล้วก็ที่สำคัญคือเป็นโปรโมเตอร์คนเดียวในองค์กรมวยโลก แล้วก็มีอยู่ช่วยหนึ่งที่ไหนรัฐก็ยกให้เป็น 1 ใน 3 คน สุดยอดสตรีของวงการกีฬาทำให้ได้รับการยอมรับมากขึ้นด้วย
กับฉายา “มาดามโอ๋” รู้สึกเขินนะ (หัวเราะ) รู้สึกแก่เหมือนกับเราเป็นรุ่นเดอะ ก็อย่างที่บอกว่ามันเหมือนกับเราเป็นรุ่นใหญ่ ทำให้รู้สึกเขินนิดนึง ซึ่งเรียนตามตรงว่าโอ๋ก็มีมุมส่วนตัวของตัวเอง บางทีไปเดินจตุจักรแล้วมีคนทักเราก็บ่ายเบี่ยงตอบไปว่า “อ๋อ ไม่ใช่ค่ะคนนั้นพี่สาว” เพราะเราใส่ขาสั้น ไม่ได้แต่งตัวเหมือนในทีวีหรือตอนทำงาน เราใส่สบายๆ เสื้อยืดใส่หมวก กางเกงขาสั้น มันก็เหมือนคนละคนจริงๆ เพราะอันนั้นก็เหมือนตัวตนโอ๋จริงๆ แต่ตรงนั้นมันคือหน้าที่ความรับผิดชอบ
ถ้าถามตรงๆ ว่าวันนี้เราเริ่มต้นจากความรักมวยไทยไหมมาจนถึงวันนี้ โอ๋ยังตอบไม่ได้เลย แต่รู้แค่ว่ามันสนุก ตื่นเต้นและก็มีอะไรที่น่าทำอีกเยอะ มันมีเรี่ยวแรงที่อยากจะทำอีกมาก ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ไม่จำเป็นหรอกที่คุณอยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะเลือกได้แบบนั้น แต่ทำในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ แล้วทำให้มันดีที่สุดก็พอ”
กว่า 1 ทศวรรษบนเส้นทางสายโปรโมเตอร์ “ท้อ” แต่ “ไม่ถอย”
ระยะเวลากว่า 11 ปี กับการเป็นผู้จัด แน่นอนว่าย่อมมีอุปสรรคให้ได้พบเจอมาอย่างมากมาย แต่ “ปริยากร รัตนสุบรรณ” กลับไม่เคยยอมแพ้ แม้จะมีคำว่าท้อหลุดออกออกมาจากความรู้สึกในบางจังหวะชีวิต แต่ยังโชคดีที่มีแนวคิดง่ายๆ ในการช่วยแก้ไขปัญหาได้ตลอด
“ปัญหามันมีทุกวันเจอมาเยอะหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องขโมยมวย หรือหัวหน้าคณะ เรื่องการตกเป็นข่าวที่เราไม่ได้พูดเอง แต่ด้วยนิสัยเราที่ไม่ค่อยชอบไปแก้ข่าว เพราะงานเราก็มีทำเยอะแยะเต็มไปหมดแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องมาตั้งหลักว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่แท้จริงมันคืออะไร ก็ค่อยๆ แก้ไป แต่ตอนนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะสภาวะเศรษฐกิจ สปอนเซอร์ต่างๆ ไม่ได้เฟื่องฟูเหมือนสมัยเมื่อปี 2532 ที่แบบคนดูล้นสนาม
เหนื่อย เบื่อ เป็นความรู้สึกแบบนี้บ่อยมาก ถ้าจะพูดถึงกรณีที่หนักสุด ก็คือสมัยที่ ยอดสนั่น สามเค แบตเตอรี่ เป็นแชมป์โลกแล้วเราไปเซ็นยกให้โปรโมเตอร์เมืองนอกแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะโปรโมเตอร์ต่างชาติเขาต้องการแชมป์มากกว่าตัวบุคคล โดยไม่สนใจเราหรอก แล้วก็มีพวกไม่รู้เรื่องแต่ชอบมายุ่งเยอะ ซึ่งแมตช์นั้นก็คือไฟต์สุดท้ายที่ป๊าจะเลิกจับมวยสากล ทำให้เหลือเราคนเดียวที่ทำมวยสากล และมาเปิดตลาดมวยหญิงจนกระทั่งล่าสุดได้ ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ มาเป็นแชมป์โลกคนล่าสุด”
11 ปีที่ผ่านมา วงการมวยไทยหากไม่ปรับตัวอนาคตลำบากแน่
จากทรรศนะของสุดยอดโปรโมเตอร์หญิงหนึ่งเดียวของไทย ได้ให้ความคิดว่าเห็นว่าวงการมวยอนาคตค่อนข้างมืดมน หากไม่มีการปรับตัวให้มีการประยุกต์วิทยาศาสตร์การกีฬา หรือนำเอาแผนงานสมัยใหม่เข้ามปรับใช้เพื่อช่วยในการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น
“มองไม่เห็นความเจริญ (หัวเราะ) เพราะไม่เห็นอะไรที่มันไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งต้องบอกก่อนโอ๋คือรุ่นที่ 2 รุ่นแรก คือกลุ่มคนที่ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดแล้วตอนนี้ก็เริ่มสูงวัยกันแล้ว และต้องบอกว่าโอ๋น่าจะเป็นคนเดียวที่มองวงการมวยในแง่ของวิชาการ การสร้างสรรค์มันไม่มีความคิดหรือบุคลากรที่จะมาช่วยพัฒนา มีแต่คิดว่าในแง่มุมเดิม ๆ ล็อก-ล้ม-เล่น ไม่มีแง่มุมไหนเลยที่จะช่วยให้วงการพัฒนาขึ้นได้”
ส่วนการที่ทุกวันนี้ผู้จัดไม่มีจรรยาบรรณในการเปรียบมวย หรือการนำเอาฝรั่งมาชกกับคนไทยโดยฝีมือไม่สมศักดิ์ศรี อาจจะเป็นประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับมวยไทย มากกว่าการที่ฝรั่งนำเอาไปประยุกต์เป็นการแข่งขันในปัจจุบันอย่างมวย K-1
“โดยส่วนตัวคิดว่ามันคือความแตกต่าง เพราะมวยไทยมีพิษสงที่รุนแรงเขาไปตัดศอกออกแล้วถึงเปลี่ยนชื่อ แต่จริงๆ เขาก็จะรู้เองว่านี่รุ่นเด็ก ส่วนนี่คือระดับสุดยอดที่เจ๋งจริง ดังนั้น มันก็เป็นเหมือนการขายของที่เกิดการก๊อปปี้ ดัดแปลง มันคือเรื่องที่ธรรมดา แต่สิ่งที่เราควรจะต้องทำคือ มวยไทยต้องสะท้อนความเป็นไทย ขนบธรรมเนียมประเพณีต้องมีการไหว้ครู และโปรโมเตอร์ควรให้ความสำคัญและให้คงอยู่กับการแข่งขัน ซึ่งมันก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกเช่นกันว่า ถ้าใครใช้แม่ไม้มวยไทยที่ยอดเยี่ยม สวยงามก็ต้องได้เงินเพิ่ม ซึ่งคนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าอยากให้สิ่งนั้นคงอยู่เราก้ต้องเป็นคนช่วยนำเสนอ ซึ่งอย่างที่บอกว่ารายละเอียดตรงนี้จะไม่สนใจไม่ได้ ให้มันเป็นเสน่ห์ของมวยไทย
ถ้าถามว่าปัจจุบันมีฝรั่งจัดการแข่งขันแล้วประกบคู่ที่ไม่เหมาะสม นี่แหละคือสิ่งที่เป็นอันตราย ซึ่งมันก็ย้อนกลับมาที่นโยบายของโปรโมเตอร์ด้วยว่าเป็นอย่างไร สำหรับ “วันทรงชัย” เราเน้นเสมอไม่ว่าจะจัดมวยในเกรดใดก็ตาม แต่ต้องเปรียบมวยที่มีความคู่คีสูสีกันเสมอ เพื่อความยุติธรรม ไม่ใช่ว่าคุณต่อยมา 100 ครั้ง คุณก็ควรจะเจอกับคู่ชกที่มีประสบการณ์ 80-100 ครั้ง แต่ปัจจุบันบางรายการคนไทยต่อยมากกว่า 300 ครั้ง มาเจอฝรั่งที่ขึ้นชกเพียงแค่ 30 ครั้ง เรามองว่าตรงนี้แหละคือสิ่งที่เป็นปัญหาจนทำให้ฝรั่งมองว่า รู้สึกไม่แฟร์และเป็นอันตรายสำหรับมวยไทย”
ภาพที่คุ้นเคยในการออกงานกัน “ทรงชัย รัตนสุบรรณ” ผู้สร้างตำนานศึกวันทรงชัย
วางเป้าหมายอีก 5 ปี สร้างเด็กปั้นของตัวเองด้วยระบบที่มีมาตรฐาน
ถึงแม้จะมีชื่อเสียงทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ทายาทของ “บิ๊กซ้ง” ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น โดยตั้งเป้าสร้างค่ายมวยของตัวเองโดยการนำเอาระบบการฝึกซ้อมที่ทันสมัยเพื่อมาใช้เจียระไนดาวรุ่งทั้งชายและหญิงในประเภทมวยสากล เพื่อก้าวขึ้นไปชิงแชมป์ในอนาคต
“ก็ต้องยอมรับเลยว่าเพชรที่จะเอามาเจียระไนทุกวันนี้มันหายากขึ้น การจะส่งเขาไปถึงฝั่งฝันด้วยการเป็นแชมป์มันต้องใช้ระยะกว่าเวลาถึง 5-6 ปี แล้วอีกอย่างเรื่องคอนเนคชั่นเราเองพร้อมแล้ว เราได้รับโอกาสแต่ตัวนักมวยยังฝีมือไม่ถึง ซึ่งตอนนี้มีโปรเจกต์ภายใน 5 ปีต่อจากนี้คือ เราควรจะทำค่ายของเราเองแล้ว เพราะเราไม่อยากจะฟังหัวหน้าคณะมาพูดแล้วว่า ซ้อมพอ แข็งแกร่ง ฟิตเต็มถัง แต่พอไปบนเวทีมันไม่ใช่อย่างที่พูด ซึ่งนี่แหละคือแนวทางแก้ปัญหาในระยะยาว
แต่ในทุกวันนี้เราก็พยายามแก้ปัญหาด้วยการเอาโค้ชจากเมืองนอกมาเทรน แต่ในอนาคตถ้ามีนักมวยสัก 4 คน ก็อาจจะจ้างเทรนเนอร์ฟิลิปปินส์มาสอนแบบเต็มเวลาได้เลย ซึ่งก็ต้องผ่านกระบวนการคัดอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน
ส่วนมวยสากลหญิงนี่เหนื่อย เพราะมวยหญิงไทยยังไม่เก่งขนาดนั้น พอเราไปเจออย่างนักชกญี่ปุ่นซึ่งค่อนข้างแข็งแกร่งเพราะเขาซ้อมแบบผู้ชาย เพราะความเป็นมืออาชีพของเขาคนละเรื่องกับบ้านเราเลยทั้งที่บางคนมีลูกหรืออายุเยอะขึ้นแต่ก็ยังฝีมือไม่ตก
ถ้าพูดถึงย้อนกลับไปมีคนพยายามผลักดันมวยหญิงไหมก่อนหน้านี้ ก็มีอยู่บ้างแต่มันเกิดข่าวคราวในแง่ที่ไม่ดีทำให้มวยหญิงพับไปเลย และพอเราเข้ามาก็เริ่มจัดศึกมวยหญิงขึ้นที่ท้องสนามหลวง นั้นแสดงให้เราเห็นว่ามีมวยหญิงอยู่เยอะเหมือนกันนะ แต่เขาไม่มีเวทีในการประลอง แล้วพอเริ่มถ่ายทอดสดทางช่อง 11 ในขณะนั้น มันก็ยิ่งทำให้คนหันมาสนใจกันมากขึ้นตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องดึงวงจรของมันให้นานขึ้นมากกว่านี้ ไม่ใช่ว่าพอชกไม่ดีก็หาคนใหม่กลับมาเริ่มต้นกันใหม่
สิ่งที่เรามองไว้เป็นทางแก้ในระยะยาวก็คือใช้สูตรเดียวกับผู้ชาย หากเมื่อใดที่เพชรมากขึ้นเราก็ต้องเอามาซ้อมกับเทรนเนอร์ต่างชาติเพื่อเสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เรื่อยๆ เปื่อยๆ อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
ส่วนแผนการชกของ ผึ้งหลวง ส.สิงห์อยู่ ตอนนี้รอประกาศจากสถาบันว่าให้ลงทำศึกป้องกันไฟต์บังคับภายใน 120 วัน ซึ่งเล็งไว้ว่าจะจัดในประเทศไทย ซึ่งด้วยสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ที่หาสปอนเซอร์ยาก แต่ในเมื่อเราได้มาแล้วก็ต้องพยายามรักษาเอาไว้ให้นานที่สุด”
รอยยิ้มที่แฟนหมัดมวยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
บริหารเวลาเพื่อความสุขทั้งการทำงานและเพื่อครอบครัว
ถึงแม้จะยุ่งกับการเป็นโปรโมเตอร์ แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างในชีวิตของ “ปริยากร รัตนสุบรรณ” คือครอบครัวอันอบอุ่นที่มีลูก 2 คน และสามีที่คอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมาดามโอ๋ พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะให้เวลากับครอบครัวให้มากที่สุดทั้งในและนอกเวลางาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัวให้อบอุ่นอย่างสม่ำเสมอ
“ถ้าเป็นสมัยก่อนโอ๋จะมักเอาคอมพิวเตอร์ขึ้นไปบนห้องนอน แล้วก็ทำงานไปด้วยโดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งการบ้านลูกมาแล้วลูกชายวาดรูปประมาณว่าอยากมีเวลาเล่นกับแม่มากกว่านี้ ซึ่งนี้คือจุดที่ทำให้น้ำตาซึมขึ้นมาเลย เพราะโดยส่วนตัวโอ๋กับแฟนจะไม่ค่อยชอบออกสังคมเท่าไรเพราะอยากใช้เวลาอยู่กับลูก แต่ว่าตอนนั้นมันสะท้อนให้เราเห็นว่าที่เราคิดว่าอยู่กับลูกแต่นั่งทำงาน ลูกเขาไม่ได้รู้สึกว่าเราอยู่กับเขา ก็ประหลาดใจเหมือนกันเพราะตอนนั้นลูกอายุแค่ 4-5 ขวบ แต่เขียนคำพูดมาให้เราสะอึก แต่จริงๆ แล้วลูกชายเป็นเด็กที่โตกว่าวัยคือหมายถึงในแง่ของความคิด ส่วนลูกสาวจะชอบให้แม่อ่านนิทานให้ฟัง
นอกจากนี้ เวลาไปงานมวยก็จะพยายามสอนเขาไปด้วยว่านี่แหละชีวิตมันคือการทำงาน ส่วนหนูตอนนี้แค่มีหน้าที่เรียนหนังสือนะ แล้วก็สอนให้เขารู้จักเป็นเหตุเป็นผล
ส่วนในวันเสาร์อาทิตย์ก็จะพยายามอยู่กับเขาให้มากขึ้น มือถือจะพยายามเอาไว้ไกลๆ ตัวหน่อย เพราะเราไม่รู้หรอกว่าในแต่ละวันมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ว่าวันนี้ต้องทำให้ดีที่สุด หรือบางที่ไปประชุมที่ต่างประเทศก็จะเอาเขาไปด้วยเพื่อทำกิจกรรมด้วยกันมากขึ้น”
แม้งานยุ่ง แต่ยังพร้อมช่วยพัฒนาวงการกีฬาไทยควบคู่ไปด้วย
โปรโมเตอร์คนเก่งได้เผยอีกว่า นอกจากตำแหน่งหน้าทีมในบริษัท วันทรงชัย จำกัดแล้ว ยังมีอีกหนึ่งหน้าที่รับผิดชอบคือการนั่งแท่นนายกสมาคมกีฬาไทยฯ เพื่อช่วยส่งเสริมและอนุรักษ์กีฬาของไทยทุกชนิดให้คงอยู่คู่สังคมไทยอย่างต่อเนื่องและไม่สูญหายไปจากแผ่นดิน
“หน้าที่ใน บ.วันทรงชัย จำกัด ที่จัดมวยไทย “ศึกวันทรงชัย” แล้ว ยังมีอีกหน้าที่หนึ่งคือ การดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาไทยแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับมวยไทยในแง่ของการอนุรักษ์และเผยแพร่อยู่ในสมาคมด้วย
โดยสมาคมกีฬาไทยฯ กิจกรรมส่วนใหญ่จะอยู่เขตกรุงเทพมหานครซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจว่า กทม. เป็นคนจัดก็เลยอาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อเสียงของสมาคม แต่จากนั้นการที่สมาคมแยกตัวออกมาอยู่ภายใต้สังกัดของการกีฬาแห่งประเทศไทย เพราะมันทำให้เรามองว่ากีฬามันไปเดินต่อไปก็ต้องมีการเผยแพร่ไปในทุกภูมิภาค ซึ่งถ้าถามว่ามีอะไรบ้าง ก็ต้องบอกว่ามีกีฬาไทยทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น ว่าวไทย, ตะกร้อลอดห่วง, หมากรุกไทย, ดาบไทย, กระบี่กระบอง, กีฬาพื้นบ้าน ฯลฯ แต่ด้วยตอนนั้นที่ยังไม่มีกิจกรรมมากนักทำให้หลายประเภทชนิดกีฬาแยกออกไปตั้งเป็นสมาคมของตัวเอง ซึ่งจริงๆ ทั้งหมดเกิดขึ้นจากเราแทบจะทั้งนั้น”
ลีลาการออกหมัดที่หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคย
“มาดามโอ๋” การันตี “ศึกยอดมวยไทยรัฐ” คืออีกหนึ่งทางเลือกที่สนใจของคอมวยไทยทั้งประเทศ
สุดท้ายก่อนจากกัน “มาดามโอ๋” ได้ฝากถึงแฟนหมัดมวยทั่วทั้งประเทศว่า “ศึกยอดมวยไทยรัฐ” คืออีกหนึ่งความตั้งใจที่ บ.วันทรงชัย และไทยรัฐ ร่วมกันสร้างสรรค์เพื่อตอบแทนแฟนกำปั้นทางจอตู้ทั่วทั้งประเทศ โดยคัดสรรมวยดี มวยเด่นมาให้ชมกันทุกสัปดาห์ถึงบ้าน
“อย่างที่เรียนไว้ว่ามันเป็นความตั้งใจของทางไทยรัฐทีวี และ บ.วันทรงชัย จำกัด ที่อยากจะตอบแทนบุญคุณกับแฟนมวย ที่ให้ความไว้วางใจศึกวันทรงชัยมาตลอด โดยผ่านการถ่ายทอดสดทางจอตู้ซึ่งเป็นสิ่งที่ป๊าต้องการให้แฟนมวยมีความสุข และเรายินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของแฟนมวยอยู่ตลอด ซึ่งก็มาสอบถามกันเข้ามาด้วยเช่นกันว่าทำไมไม่เอามวยหญิงเข้ามาบ้าง ซึ่งนี้ก็เป็นไอเดียที่ดี แต่ตอนนี้รูปแบบมันเป็นอย่างที่วางแผนกันไว้อยู่ตั้งแต่ต้น ส่วนต่อไปนโยบายจะเป็นอย่างไรก็ต้องว่ากันอีกที และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้รายการนี้เกิดขึ้นมาได้ รวมถึงอยากให้แฟนมวยเข้าไปดูกันเยอะๆ ในวันแรกของการแข่งขัน”
สำหรับการแข่งขันจะประเดิมสังเวียนเป็นครั้งแรกในวันเสาร์ที่ 5 กันยายนนี้ โดยทีคู่มวยที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น พระจันทร์ฉาย พี.เค แสนชัยมวยไทย ลงบดขยี้กับ หยาดฟ้า อาร์แอร์ไลน์ ในรุ่น 121 ปอนด์, ลูกนิมิต สิงห์คลองสี่ เดินหน้าตะบันแข้งกับ ยอดมงคล ต.หลักสอง ในรุ่น 124 ปอนด์, เสือใหญ่ ลูกเมืองเพชร พร้อมดวลกับ แตกหัก บ.เพชรไข่แก้ว ในรุ่น 106 ปอนด์, ดาวเด่น ลูกเมืองเพชร แลกหมัดกับ ราชสิงห์ ร.ร.กีฬาโคราช ในรุ่น 132 ปอนด์ และ ยอดวิชา ซูจีบะหมี่เกี๊ยว ดวลแข้งกับ ทอร์นาโด สจ.วิชิต ในรุ่น 100 ปอนด์ โดยจะเริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 – 17.00 น. พร้อมกันทั่วประเทศ.